ในยุคที่ผู้คนใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การมองหาทางเลือกเพื่อลดการบริโภคน้ำตาลกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยม สารให้ความหวานจึงกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ก่อนตัดสินใจใช้ บทความนี้จะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงสารให้ความหวาน ประเภท ประโยชน์ และผลข้างเคียง เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
สารบัญ
- Saccharin
- Sucralose
- Acesulfame-K
- Aspartame
- Stevia
- Luo han guo
- Sorbitol
- Cyclamate
- Xylitol
สารให้ความหวานสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท
1. สารให้ความหวานสังเคราะห์ สารเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในห้องทดลอง มีความหวานมากกว่าน้ำตาลหลายเท่า ตัวอย่างที่พบบ่อย ได้แก่ แอสปาร์เทม (Aspartame), ซูโครโลส (Sucralose), อะซิซัลเฟมเค (Acesulfame K)
2. สารให้ความหวานจากธรรมชาติ สารเหล่านี้มาจากพืชหรือสัตว์ธรรมชาติ มีความหวานน้อยกว่าน้ำตาล ตัวอย่างที่พบบ่อย ได้แก่ สตีเวีย (Stevia), อิริทริทอล (Erythritol), หล่อฮันกัว (Monk fruit)
1. Saccharin
แซคคารินหรือขัณฑสกร ถือเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลชนิดแรกๆ ที่ออกมา เนื่องจากเป็นสารให้ความหวานที่ทนต่ออุณหภูมิสูงจึงนิยมนำมาใช้ในการประกอบอาหารหลายประเภท เช่น ผลไม้แปรรูป แยม ขนมหวานและเครื่องดื่มต่างๆ
2. Sucralose
ซูคาโลส ถือเป็นสารให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 600 เท่า ทนต่อความร้อนได้สูงถึง 200°C สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย รสชาติดี ไม่ขม โดยในปัจจุบันเราสามารถพบเจอซูคาโลสเป็นส่วนประกอบในอาหารมากมาย เช่น น้ำผลไม้กระป๋อง เครื่องดื่มบางชนิด ข้อดีคือเป็นสารให้ความหวานที่ร่างกายดูดซึมได้น้อย แต่ข้อเสียคือหากบริโภคมากเกินไปก็อาจเสี่ยงต่อภาวะฮอโมนไทรอยด์ต่ำได้
3. Acesulfame-K
อะซีซัลเฟม-เค ให้ความหวานกว่าน้ำตาลปกติประมาณ 200 เท่า ซึ่งหากใช้ในปริมาณมากอาจทำให้มีรสชาติขมปลายและมีกลิ่นโลหะ เราสามารถพบอะซีซัลเฟม-เคได้บ่อยในเครื่องดื่มประเภท 0 แคล เครื่องดื่มผง กาแฟและชาสำเร็จรูป ข้อดีคือสามารถทนต่อความร้อนได้สูงและสามารถไปประกอบอาหารได้โดยไม่เสียสภาพ ไม่ให้พลังงานและละลายได้ในน้ำ สามารถใช้แทนที่น้ำตาลเพื่อลดปริมาณแคลอรีได้
4. Aspartame
แอสพาร์แตม ถือเป็นสารให้ความหวานที่นิยมนำมาใช้มากที่สุด โดยลักษณะของสารชนิดนี้นั้นมีได้หลายหลายรูปแบบ ทั้งแบบผง แบบน้ำ หรือแบบแคปซูล สามารถให้ความหวานกว่าน้ำตาลถึง 200 เท่า แต่ข้อเสียของสารชนิดนี้คือไม่ทนต่อความร้อน ดังนั้นจึงไม่ควรนำไปประกอบอาหาร และนอกจากนี้หากใช้ในปริมาณมากยังอาจจะมีรสขมปลายติดมาด้วย
5. Stevia
สตีเวียหรือหญ้าหวาน จัดเป็นสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลที่มาจากพืชค่ะ โดยมีความหวานกว่าน้ำตาลประมาณ 100 – 300 เท่า ทนต่อความร้อนและทนต่อความเป็นกรดด่างได้ดี มีความปลอดภัยสูงเนื่องจากเป็นสารที่มาจากธรรมชาติ ไม่มีแคลอรี่
6. Luo han guo
สารสกัดจากหล่อฮังก๊วยหรือน้ำตาลหล่อฮังก๊วย ถือเป็นสารทดแทนน้ำตาลอีกชนิดที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันค่ะ โดยสารชนิดนี้ถือเป็นสารที่มาจากธรรมชาติ ให้ความหวานกว่าน้ำตาลประมาณ 150 – 300 เท่า ไม่มีแคลอรี่ มีการละลายน้ำที่ดี สามารถทนต่อความเป็นกรดด่างได้รวมถึงเมื่อบริโภคแล้วไม่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
7. Sorbitol
ซอร์บิทอลถือเป็นสารให้ความหวานชนิดน้ำตาลแอลกอฮอล์ ซึ่งเรามักจะพบสารชนิดนี้ได้ในผลิตภัณฑ์ประเภท Sugar free ทั้งหลาย เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม ให้ความหวานน้อยกว่าน้ำตาลประมาณครึ่งเท่า ให้พลังงาน 2.6 แคลอรี่ต่อกรัม เมื่อละลายตัวแล้วจะให้ความรู้สึกหวาน เย็นและซ่า ทนต่อกรดและความร้อนได้ดี ร่างกายดูดซึมได้ช้าจึงไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในลือดสูง
8. Cyclamate
ไซคลาเมต ให้ความหวานสัมพัทธ์ (relative sweetness) สูงกว่าน้ำตาลทราย (sucrose) 30-60 เท่า และไม่ให้พลังงาน ไซคลาเมตนิยมใช้ในอาหารประเภทต่างๆ เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ การใช้ที่ระดับความเข้มข้นสูงจะให้ความรู้สึกทางปาก
9. Xylitol
Xylitol หรือ ไซลิทอล เป็นสารให้ความหวาน (sweetener) ซึ่งเป็นน้ำตาลแอลกอฮอล์ (sugar alcohol) ใช้เป็นสารให้ ความหวานแทนน้ำตาล (sugar substitute) ในโครงสร้างโมเลกุลมีคาร์บอน 5 อะตอม ในธรรมชาติพบได้ในพืช ผัก ผลไม้ หลายชนิด เช่น สตรอเบอร์รี่
- อาจส่งผลเสียต่อระบบทางเดินอาหาร: สารให้ความหวานบางชนิดอาจก่อให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเสีย
- อาจส่งผลต่อสุขภาพระยะยาว: ยังมีงานวิจัยบางชิ้นที่ชี้ว่าสารให้ความหวานบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคบางชนิด เช่น โรคมะเร็ง
- อาจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก: ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าสารให้ความหวานปลอดภัยสำหรับเด็ก
สรุป
สารให้ความหวานสามารถเป็นทางเลือกที่ดีในการลดการบริโภคน้ำตาล แต่ควรใช้อย่างพอประมาณ ควรอ่านฉลากโภชนาการอย่างละเอียด เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารให้ความหวานจากธรรมชาติ และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้
หมายเหตุ
- บทความนี้ให้ข้อมูลเพื่อความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์
- ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้สารให้ความหวาน